วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

คนที่ ไอคิวสูงที่สุดในโลก

คนที่ฉลาดที่สุดในจักรวาล

William James Sidis

Sidis เป็นชาวรัสเซีย เกิดวัน April Fool’s Day หรือ 1 เมษายน ค.ศ.1898

วันที่โลกได้สัมผัสกับบุคคลที่ถือว่า “ฉลาดทีสุดในจักรวาล”

จนพวกสมาคมทางด้าน IQ ให้ฉายาว่า “Universal Genius”

คืออาจจะต้องให้โลกแตกเสียก่อนถึงจะเจอคน IQ สูงอย่างนี้อีกซักคน

ซึ่ง IQ ของเขาประมาณอยู่ที่ 260-300 เลยทีเดียวปะป๊ากะม่ะม้าของ Sidis เป็นหมออพยพมาจากรัสเซีย

ซึ่งวงศ์ตระกูลสายของปะป๊า ของ Sidis จะฉลาดกันมากๆ เขาลือว่า

คนตระกูลนี้สามารถคิดทำความเข้าใจสิ่งต่างๆได้เร็วกว่านักวิชาการ

เก่งๆถึง 10 เท่า ปะป๊าของ Sidis เป็นนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น

แต่ตอนหลังชื่อเสียงหดหายเพราะชอบโม้ว่า เขามีเคล็ดลับในการสอน

คนรอบข้างให้ฉลาดขึ้นจนเป็นอัจฉริยะกันได้ และยังมีเรื่องเสียๆหายๆ

อีกหลายเรื่องแน่นอน เขาก็บอกว่า ทั้งลูกและภรรยาของเขาเป็นผลผลิต

จากวิธีการสอนของเขาเอง

ความอัจฉริยะของเค้าฉายแววตั้งแต่เด็ก

-เมื่ออายุ 1 ขวบ สะกดคำทุกคำได้ถูกต้อง

-เมื่อ อายุ 1 ขวบครึ่ง ก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ New York Times ได้

-เมื่ออายุ 2 ขวบ ...ก็สามารถเรียนรู้ภาษาลาติน ด้วยตัวเอง

-เมื่อ 3 ขวบ สามารถพิมพ์ดีดแล้ว ส่งจดหมายสั่งของเล่นมาให้ตัวเอง

-เมื่อ 4 ขวบ ...สามารถอ่านนิยายภาษาลาติน จากนิยายเรื่อง Caesar’s

Gallic Wars

มาด้านการเรียน ....

เรียนวิชาตรรกศาสตร์ของอริสโตเติล ตอนอายุ 6 ขวบ

(นึกย้อนหลังไป เราคงนั่งเล่นแต่งตัวตุ๊กตาแน่ๆ อ่ะ - -*)

ตอน 6 ขวบนี้แหละที่ Sidis เริ่มเรียนภาษารัสเซีย ฝรั่งเศส

เยอรมัน ฮิบรู ตุรกี(Turkish) อาร์เมเนียนและช่วงเดียวกันนี้ เขาเริ่มเรียน Gray’s Anatomy

พวกกายวิภาค โดยเข้า Grammar Schoolและจบ ในเวลา 7 เดือนพออายุ 8 ขวบเริ่มเป็นอภิชาตบุตร (- -*) เพราะเก่งคณิตศาสตร์

กว่าพ่อและ สามารถจำทุกอย่างที่อ่านได้ในตอนนี้เขาสามารถเขียนหนังสือเกี่ยวกับ Anatomy

และ Astronomy ออกมา ทั้งหมด 4 เล่ม

และสามารถพูดภาษาได้ 10 ภาษา อย่างคล่องแคล่ว!!

ในด้านภาษาการเรียนรู้ของเค้า ถึงจุดสุดยอด ที่ว่า

นับจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครในโลกสามารถทำได้อย่างตลอดกาล

คือ การเรียนรู้ ภาษา ภายใน 1 วัน (อย่างคล่องแคล่วซะด้วย)

และ ในภายหลัง เขาสามารถ พูด สนทนา เขียน อ่าน

ได้อย่างคล่องแคล่ว มากถึง 200ภาษา  

(พูดได้ 200 ภาษาเชียวหรอ)

อุ๊บ๊ะ!!!!!!!

อ่ะ ต่อๆ ยังไม่หมดความฉลาด ...

เมื่ออายุ 7 ขวบสอบผ่าน Harvard Medical School anatomy exam

ต่อมา เมื่ออายุ 8 ขวบ สอบ entrance exam ของ MIT ผ่าน

เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ Corrected (ตรวจตรา, แย้ง, เห็นข้อผิดพลาดอ่ะ

- -* ไม่รู้ใช้คำไหนดี)ของ Harvard logic professor Josiah Royce’s book

manuscript:citing โดยบอกว่า “Wrong Paragraphs)

พออายุ 11 ขวบ เป็นผู้ที่เข้าศึกษาที่ harvard อายุน้อยที่สุด

และจบจาก Harvard ในตอนที่เขาอายุ 16

หลังจากนั้นในปีต่อมา ก็เข้ามาศึกษาต่อ Harvard Law School

แต่เหมือนกับว่า ตอนเรียนที่ Harvard เขากลับไม่เป็นอย่างที่

ทุกๆคนคาดหวังเอาไว้เนื่องจากผลการเรียนเค้า อยู่ในระดับ ปกติ ทั้งที่ควรจะดีเลิศ

เขาก่อปัญหา และถูกจับในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดการก่อจราจล

ชีวิตเขาในภายหลังแทบเรียกว่า ล้มเหลว เพราะงานก็ไม่เอา

เรียนก็ไม่เรียนทั้งๆที่ เป็นบุคคลที่มี IQ สูงและฉลาดที่สุดใน จักรวาล

(ย้ำว่า ตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครมากกว่าเขา)

มีหลายกระแส บอกว่า เป็นเพราะพ่อแม่ของเขาที่ค่อนข้าง

กดดันเขาในวัยเด็ก

และวัยเด็กเค้าที่ ไม่ได้เล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป

บางกระแสก็บอกว่า เป็นเพราะเขาฉลาดจนเกินไป

และปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ (เห็นด้วยนะ เพราะว่ายิ่งฉลาดมาก

บางทีมันก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด พอโตขึ้นมามันเลย

น๊อตหลุดไรงี้ เลยไม่อยากเข้าสังคมอ่ะ )

วันนี้ลองถามคนทั่วไป (แม้กระทั่งตัวเราเอง)

ว่าใครกันหนอฉลาดที่สุดในโลก / Iq มากที่สุดในโลก

คงมีแต่คนตอบว่า ไอนสไตน์ ....

โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า Sidis ความจริงแล้วเป็นบุคคลที่ฉลาด

ที่สุดที่โลกเราเคยมีมาและยังเป็นชายที่มี IQ สูงราวๆ 300

(อันดับ รองลงมาจาก Sidis เป็นผู้หญิงค่ะ IQ 230 ส่วน

ไอนสไตน์จะใกล้เคียงกัน ประมาณ 228 ค่ะ)ที่ไอนสไตน์ดังได้ และ เป็นที่จดจำ เพราะชีวิตของเค้า

ไม่ได้ล้มเหลวเหมือน Sidisและ ไอนสไตน์ฝากไว้ซึ่งผลงาน ความฉลาดของเขาส่งเสียง

ดังกัมปนาท เหมือนระเบิดที่ ฮิโรชิม่า และนางาซากิ

ซึ่งความจริงแล้ว ไอนสไตน์ไม่เคยสร้างระเบิดสักลูก

แต่แทบทุกคนก็จดจำเขาในฐานะเจ้าของทฤษฏีอันเป็นต้นตอ

ของระเบิดที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ...สรุปว่า ความฉลาดก็เรื่องหนึ่งการทิ้งร่องรอยความฉลาดไว้อย่างน่าจดจำก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งSidis ใช้เวลาในชีวิตให้หมดไปกับการเรียนรู้สารพัด

ศาสตร์ที ่น่าสนใจเขาสนใจกระทั่งศาสตร์ลึกลับต่างๆ ตลอดจนการ

พิสูจน์จิตวิญญาณในมิติอื่นส่วนไอน์สไตน์อุทิศ 30 ปีสุดท้ายของชีวิตให้กับ

ทฤษฎีสนามรวม (Umified Field Theory)

ด้วยเกรงว่าถ้าไม่ใช่เขา ก็จะไม่มีใครค้นหาความจริง

ในทฤษฎีนี้พบSidis หรือชื่อเล่น Billy เข้ม ดังมากๆตอนสอบเข้า

Harvard เพราะนิตยสาร Times ลงข่าวครึกโครมตลอด

อย่างไรก็ตามเขาก็เริ่มฉายแววความตกต่ำตอนเรียนที่

Harvard จะเห็นว่า จาก transcript ที่เอามาให้ดูใน

งานเขียนก่อนหน้านี้ ผลการเรียนก็อยู่ในระดับเฉลี่ย

ทั้งที่ควรจะ A ทุกตัวเพื่อนๆที่ Harvard ส่วนใหญ่มองเขาเป็นตัวตลก

ตัวประหลาด จนพ่อแม่ส่งให้ไปเรียนที่ Rice University

แต่ก็ทนเรียนได้แค่ 1 ปี ก็ต้องกลับมา Boston

แถมถูกเย้ยหยันจากพวกหนังสือพิมพ์ต่างๆที่เคยตื่น

ข่าวเกี่ยวกับเขามาก่อนใน ปี ค.ศ. 1919 เขาถูกจับข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการจราจล

มีเพือนสนิทชื่อ Martha Foley ซึ่งความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งที่สุดคือ

“การจูจุ๊บ” แค่นั้นเอง.....ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยในช่วงทำงาน เขามักมีปัญหากับผู้บังคับบัญชาเสมอ และ

“เกลียดเงิน”ทำให้เขาพยายามทำตัว low profile

ผลที่ตามมาเงินค่าจ้างก็น้อย โดยทำงานดูแล mechanical computer

(สมัยนั้นคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่มากๆ กลไกก็มากจนดูเป็น

เครื่องยนต์มากกว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)หลังจากนั้นเขาทำงานในช่วงสั้นๆเป็น “ล่าม”

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ตอนรุ่งๆ

ก่อนถูกจับก็มีผลงานทางวิชาการพอสมควรแต่ก็ไม่หวือหวามากมาย

หลายคนพยายามหาคำตอบว่า ทำไมโยม Sidis

ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย กลับกลายเป็นล้มเหลวด้วยซ้ำ

ทั้งที่เป็นคนที่ IQ สูงที่สุดในจักรวาลก็ว่าได้

(จนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครฉลาดเท่านายคนนี้)สาเหตุต่างๆได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงแต่ก็ไม่มีการฟันธง

แน่นอนลงไป บ้างว่า เพราะพ่อที่ใช้จิตวิทยาที่ผิดๆในการสอนลูก

(แต่ตัวพ่อกลับบอกว่า เป็นข้อดี) บ้างบอกว่า

ตอนเด็กไม่ค่อยได้เล่น(แต่จากพยานก็บอกว่า

เขาก็เล่นนะตอนเด็กๆแต่อาจจะน้อยกว่าเด็กทั่วไป)

บ้างก็ว่า ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะการปรับตัว

ให้เข้ากับสังคมรอบข้าง ฯลฯ

Sidis ไปเที่ยวสวรรค์แบบ one-way ticket (ขอให้ไปดี)

ตอนอายุได้ 56 ขวบ ใน ปี ค.ศ. 1923 ขณะที่กำลังเขียน

หนังสือเรื่อง The Psychology of the Folk Tale

โดยเขามีผลงานตีพิมพ์หนังสือ 17 เล่ม และบทความ

ในนิตยสาร 50 เรื่อง

28-07-2009.ad.1248773239_0.52970700-2010-09-5-13-08.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น