แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ science แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ science แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

mpemba effect

ปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า (Mpemba Effect)

เรื่องของปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า(Mpemba effect)นี้  เป็นเรื่องเล่าที่มาจากเรื่องจริงของเด็กชาวอัฟริกันคนหนึ่งที่ชื่อ เออราสโต้ เพ็มบ้า (Erasto Mpemba) นักเรียนมัธยมในประเทศแทนซาเนีย โดยเป็นเรื่องของสิ่งที่เขาสังเกตพบเมื่อปี พ.ศ. 2506 ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังร่วมแข่งขันทำโครงงานของโรงเรียนในเรื่องการทำไอศครีม  ซึ่งสิ่งที่เขาต้องทำตามที่ได้เรียนรู้มาก็คือ ต้มนมและส่วนผสมจนเดือด แล้วก็ปล่อยไว้จนเย็น ก่อนที่จะนำนมนั้นใส่เข้าไปในตู้เย็น   แต่อาจจะด้วยเพราะกลัวว่าจะแพ้เพราะทำได้ช้ากว่าคนอื่นๆ เขาจึงเลือกที่จะเอาส่วนผสมที่ได้จากการต้มเข้าตู้เย็นทันทีในขณะที่ส่วนผสมนั้นยังร้อนอยู่   และแล้วเขาก็พบว่าส่วนผสมที่ยังร้อนอยู่นั้นกลับแข็งตัวก่อนส่วนผสมอื่นๆ ซึ่งปล่อยให้เย็นก่อนที่จะเขาใส่เข้าไปในตู้เย็น

ตั้งแต่นั้น ก็มีคนอื่นๆ ได้อ้างว่าพบปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้ โดยได้เรียกปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า ปรากฏการณ์ของอิทธิพลเพ็มบ้า(Mpemba effect)  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนจะขัดกับความรู้สึกเช่นนั้น  และคิดว่าถึงแม้ Mpemba effect จะเป็นจริง นั่นคือ บางบางทีน้ำร้อนสามารถเยือกแข็งได้เร็วกว่าน้ำเย็น   แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าคำอธิบายที่มีขึ้นจะให้ความกระจ่างชัด ซึ่งคำอธิบายดัวกล่าวเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย    หลังการค้นพบของเขาสองสามปี  ในขณะที่เออราสโต้ เพ็มบ้า ได้เรียนเรื่องกฎการเย็นตัวของ Newton และเขาได้ถามครูของเขาว่า กฎนี้จะสอดรับกับการสังเกตที่เขาพบได้อย่างไร   ครูของเขาตอบว่า “สิ่งที่ครูจะพูดได้ก็คือ นั่นเป็นฟิสิกส์ของ เพ็มบ้า ไม่ใช่ฟิสิกส์ที่เป็นสากล”

จริงๆ แล้วมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนต่างอ้างว่าน้ำร้อนเยือกแข็งเร็วกว่าน้ำเย็น หรือน้ำที่อุ่นเล็กน้อยจะเยือกแข็งตัวได้ง่ายกว่าน้ำที่ค่อนข้างเย็น   และน้ำจะมีความหนาแน่นที่สุด ณ อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส   ซึ่งการศึกษาเหล่านี้บอกให้เรารู้ว่า “น้ำที่ถูกทำให้ร้อนและคงความร้อนนั้นไว้มานานจะเยือกแข็งเร็วกว่าน้ำแบบอื่น”   จากความรู้นี้ บางคนอาจคุ้นเคยอยู่แล้วในภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ในต่างประเทศที่มีหิมะตก มีคนพูดไว้ว่าไม่ควรล้างรถด้วยน้ำร้อนในฤดูหนาวที่หิมะตก เพราะมันจะแข็งตัวเร็วกว่าน้ำเย็น หรือ ลานสเก็ตควรทำโดยการราดด้วยน้ำร้อนเพราะมันจะเยือกแข็งได้เร็วกว่า

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาพลวงตาเวลาอากาศร้อน

X9274037-1-2010-05-20-13-53.jpg

กลไกการเกิดเป็นเพราะอากาศร้อนที่ลอยขึ้นเหนือถนน จะความหนาแน่นไม่เท่ากับ

อากาศปกติ ทำให้แสงที่ตกกระทบ ส่วนหนึ่งจะหักเหผ่าน อีกส่วนหนึ่งจะสะท้อน

เข้าตาทำให้เห็นเป็นภาพสะท้อน และยังเห็นเป็นคลื่นๆ ด้วย

X9274037-3-2010-05-20-13-53.jpg

มดอยู่ในไมโครเวฟทำไมไม่ตาย

มดอยู่ในไมโครเวฟทำไมไม่ตาย

ก่อนที่จะรู้ว่าทำไมมดอยู่ในไมโครเวฟทำไมไม่ตาย เราต้องมาทำความเข้าใจการทำงานของเตาไมโครเวฟก่อน เตาไมโครเวฟจะสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความถี่ในระดับไมโครเวฟด้วยหลอดแมกนิตรอน แล้วส่งคลื่นนั้นเข้าไปในเตา คลื่นที่ส่งเข้าไปจะสะท้อนไปมา เกิดการแทรกสอด(การเสริมและหักล้าง)ของคลื่น เกิดเป็นคลื่นนิ่ง(Stand Waves) ขึ้นภายในเตา

ภาพคลื่นนิ่งที่เกิด

คลื่นนิ่งที่เกิดขึ้นจะไปทำให้โมเลกุลของน้ำภายในอาารที่เราใส่เข้าไปเกิดการสั่นสะเทือน เกิดเป็นความร้อนทำให้อาหารสุก แต่จะสังเกตได้ว่าคลื่นนิ่งที่เกิดจะมีบางจุดที่ไม่มีการเคลื่อนไหว (จุดสีแดงในภาพ) ที่จุดนั้นจะไม่เกิดการสั่นของโมเลกุลของน้ำทำให้ไม่เกิดความร้อน

ดังนั้นในเตาไมโครเวฟจึงต้องมีจานหมุนเพื่อที่จะให้อาหารที่เราใส่เข้าไปเคลื่อนที่จากจุดแดงไปยังจุดที่มีคลื่น เพื่อที่จะทำให้อาหารร้อนได้ทั่วถึง

คราวนี้มาถึงคำตอบว่า มดอยู่ในไมโครเวฟทำไมไม่ตาย

1. เมื่อมดเริ่มรู้สึกร้อนมันย่อมจะหนีจากจุดนั้นไปยังที่ๆมีความร้อนน้อยกว่า ซึ่งก็คือบริเวณจุดสีแดงในภาพ

2. เนื่องจากมดตัวเล็กทำให้มันสามารถหลบอยู่บริเวณจุดสีแดงได้

3. เตาไมโครเวฟจะออกแบบมาให้มีความเข้มของลำคลื่อนไปรวมอยู่ที่บริเวณกลางๆเตา ส่วนบริเวณขอบๆจะมีความเข้มของคลื่นน้อยกว่า

4. ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้มันสามารถวิ่งไปหาบริเวณที่มีคลื่นอ่อนหรือไม่มีคลื่นเลยได้ มันจึงไม่ได้รับความร้อนทำให้มันไม่ตาย

หวังว่าคงหายสงสัยแล้วนะครับ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=goldendragon&month=01-2007&date=29&group=1&gblog=2

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประเภทของผล



เรื่อง ประเภทของผล

ในการศึกษาชนิดของผลมีหลักเกณฑ์ในการจำแนกหลายหลักเกณฑ์ เช่น ลักษณะและ
โครงสร้างของดอก จำนวนและชนิดของรังไข่ ลักษณะของเนื้อผลไม้นั้นแก่แล้วแตกออกหรือไม่ มีส่วนของกลีบเลี้ยงหรือฐานดอกเป็นส่วนประกอบของผลหรือไม่ เป็นต้น แต่ในชั้นนี้จะแบ่งตามวิธีการเกิดของผลเป็นเกณฑ์ ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. ผลเดี่ยว ( Simple fruit ) คือ ผลที่เกิดจากรังไข่อันเดียวในดอกเดียว ดอกอาจเป็น
ดอกเดี่ยวหรือดอกช่อก็ได้ ตัวอย่างเช่น ผลมะเขือ แตง ฟักทอง ส้ม เป็นผลเดี่ยวที่เกิดจากดอกเดี่ยว และมะม่วง ชมพู่ มะกอก เป็นผลเดี่ยวที่เกิดจากดอกช่อ เป็นต้น ลักษณะของดอกที่จะกลายเป็น
ผลเดี่ยว คือ ดอก 1 ดอกจะมีรังไข่ 1 อัน เป็นดอกเดียวหรือดอกช่อก็ได้ ถ้าเป็นดอกช่อรังไข่ของแต่ละดอกต้องไม่หลอมรวมกัน

2. ผลกลุ่ม ( Aggregate fruit ) คือผลที่เกิดจากกลุ่มของรังไข่ในดอกเดียวกันของดอกเดี่ยว รังไข่แต่ละอันก็จะกลายเป็นผลย่อยหนึ่งผล แต่เนื่องจากอยู่อัดกันแน่นจึงดูคล้ายกับเป็นผลเดี่ยว เช่น ผลน้อยหน่า สตรอเบอรี่ เป็นต้น แต่บางชนิดก็ไม่อยู่อัดกันแน่นนัก คงแยกเป็นผลเล็ก ๆ เช่น ผลของ
กระดังงา การะเวก นมแมว เป็นต้น ลักษณะของดอกที่จะกลายเป็นผลกลุ่ม คือ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ใน 1 ดอก มีรังไข่หลายอัน อาจเชื่อมรวมกันหรือไม่ก็ได้




3.ผลรวม ( Multiple fruit ) คือ ผลที่เกิดจากรังไข่ของดอกแต่ละดอกของดอกช่อซึ่งเชื่อมรวมกันแน่น รังไข่เหล่านี้จะกลายเป็นผลย่อย ๆ เชื่อมรวมกันแน่นจนคล้ายเป็นผลเดี่ยว ได้แก่ ผลสับปะรด ขนุน สาเก ยอ หม่อน มะเดื่อ เป็นต้น ลักษณะของดอกที่จะกลายเป็นผลรวมคือ ดอกเป็นดอกช่อที่มีรังไข่ของดอกย่อย แต่ละดอกมาเชื่อมรวมกัน







pic2.7BvORjqXMZnX.jpg